การวางระบบ Network ในโรงพยาบาล และการใช้ Core Router กับ Switch.png
Network Design & Planning,  กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่,  เนื้อหาสำหรับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ,  โรงพยาบาล

การวางระบบ Network ในโรงพยาบาล และการใช้ Core Routers/Switches

 

การใช้งานและ Use Cases (สถานการณ์การใช้งาน)

 

Core Routers/Switches (เราเตอร์/สวิตช์หลัก) เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของเครือข่ายในโรงพยาบาล จากการส่งข้อมูลผู้ป่วย (Patient Data) การสื่อสารระหว่างแผนก (Inter-departmental Communication) ถึงข้อมูลสำคัญเช่น Radiology Images (ภาพรังสี) หรือ Lab Results (ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ)

 

ความยากลำบากและปัญหาที่เกิดขึ้น

 

  1. Latency (ความล่าช้า):

ความล่าช้า (Latency) หมายถึงเวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ในบริบทของโรงพยาบาล การส่งข้อมูลระหว่างแผนก ระหว่างอุปกรณ์ทางการแพทย์หรือจากโรงพยาบาลไปยังฐานข้อมูลส่วนกลางต้องรวดเร็วและถูกต้อง

 

ทำไมปัญหา การเกิดความล่าช้าถึงสำคัญ?

 

  • การตัดสินใจที่ขาดความรวดเร็ว: ถ้ามีความล่าช้าในการส่งผลตรวจรังสีหรือผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการ แพทย์อาจไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการรักษาได้ในเวลาที่รวดเร็ว
  • ผลกระทบต่อผู้ป่วย: การดำเนินการที่ต้องใช้เครื่องมือที่ต้องสั่งงานผ่านเครือข่ายจะถูกหน่วงถ้ามีความล่าช้า

 

Core Routers/Switches และความล่าช้า

 

  • ตรวจจับและจัดการ Traffic (การจัดการการจราจร): Core Routers/Switches มีความสามารถในการตรวจจับและจัดการกับข้อมูลที่ต้องถูกส่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดความล่าช้า
  • Quality of Service (QoS หรือ คุณภาพของการบริการ): การตั้งค่า QoS ใน Core Routers/Switches ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล ส่งผลให้ข้อมูลที่สำคัญได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
  • Load Balancing (การทำให้ภาระถูกแบ่งออกไป): เราเตอร์และสวิตช์หลักสามารถแบ่งภาระข้อมูลไปยังเส้นทางที่ไม่ได้ใช้งานหรือที่มีความจุที่เหลือ ลดความล่าช้า

ดังนั้น Core Routers/Switches เป็นส่วนสำคัญในการจัดการและลดความล่าช้าในโรงพยาบาล การปรับแต่งและการจัดการที่ดีสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการทางการแพทย์และการดูแลผู้ป่วยในระดับสูง

 

  1. Scalability (การขยายขนาด):

ด้วยการเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์และผู้ใช้งาน เราเตอร์และสวิตช์ต้องสามารถจัดการกับการเพิ่มขึ้นของข้อมูล

 

ทำไม Scalability ถึงสำคัญ?

ในโรงพยาบาล, จำนวนผู้ป่วยและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อุปกรณ์ IoT ที่ใช้ในการติดตามสุขภาพผู้ป่วย เครื่องมือทางการแพทย์ที่มีการเชื่อมต่อเครือข่าย หรือแม้แต่จำนวนเจ้าหน้าที่ที่ใช้งานในระบบ ถ้า Core Routers/Switches ไม่สามารถรองรับการขยายขนาด, จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของโรงพยาบาลในหลายด้าน

 

วิธีการปรับปรุงและจัดการ

    • Modular Design (การออกแบบแบบโมดูล): การใช้เราเตอร์และสวิตช์ที่สามารถเพิ่มหรือลดหน่วยประมวลผล, หน่วยความจำ, หรือพอร์ตเชื่อมต่อได้
    • Software-Defined Networking (SDN หรือ การเชื่อมต่อเครือข่ายที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์): ใช้ในการจัดการและกำหนดค่าเครือข่ายแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนการจัดการเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว
    • Virtual LANs (VLANs หรือ เครือข่ายแบบเสมือน): การใช้ VLAN ช่วยในการแยกการจราจรข้อมูลตามกลุ่มหรือแผนก ทำให้การขยายขนาดเครือข่ายสามารถดำเนินการได้โดยไม่กระทบต่อส่วนอื่น ๆ ของระบบ

โดยสรุป Scalability ในด้านของ Core Routers/Switches เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการรองรับการขยายขนาดของโรงพยาบาล การไม่สามารถรองรับการขยายขนาดสามารถส่งผลกระทบสูงถึงการให้บริการทางการแพทย์และการจัดการข้อมูลผู้ป่วย ดังนั้นการเลือกและการจัดการ Core Routers/Switches ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและมีการวางแผนให้ดี

 

  1. Network Security (ความปลอดภัยของเครือข่าย):

ปัญหาเรื่องข้อมูลของผู้ป่วยที่สามารถถูกถอดรหัสหรือถูกเข้าถึงโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต

 

ทำไม Network Security จึงสำคัญ?

ในบริบทของโรงพยาบาล, “การขยายขนาด” หมายถึงความสามารถของ Core Routers/Switches ในการรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน, อุปกรณ์เครือข่าย, หรือข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น การเพิ่มจำนวนห้องผู้ป่วยหรือการเปิดสาขาใหม่ ต้องใช้ Core Routers/Switches ที่สามารถขยายขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความล่าช้าหรือข้อผิดพลาด

ความปลอดภัย (Security):

ปัญหาเรื่องความปลอดภัยในข้อมูลของผู้ป่วยเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและต้องได้รับการจัดการอย่างเคร่งครัด Core Routers/Switches ในโรงพยาบาลจะต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น การใช้ Firewall (ระบบป้องกันไฟร์วอลล์) และ Access Control Lists (ACLs หรือ รายการควบคุมการเข้าถึง) เพื่อป้องกันข้อมูลจากการถูกถอดรหัสหรือการเข้าถึงจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต

ในการเสริมสร้างความปลอดภัย, อาจใช้เทคนิคที่เรียกว่า Virtual Private Network (VPN หรือ เครือข่ายส่วนตัวเสมือน) เพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสระหว่างสถานีงานหรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ต่างกัน

ดังนั้น, การขยายขนาดและความปลอดภัยเป็นสองด้านที่สำคัญและต้องได้รับการคำนึงถึงอย่างใกล้ชิดเมื่อมาถึงการจัดการ Core Routers/Switches ในเครือข่ายของโรงพยาบาล

 

การรับมือและแก้ไขปัญหา ในการจัดวางระบบ

 

    1. High Availability Configuration (การกำหนดค่าเพื่อความพร้อมใช้งานที่สูง):

การใช้ Failover Systems (ระบบสำรอง) เพื่อรับมือกับปัญหาความล่าช้าและความจุ Core Routers/Switches (เราเตอร์/สวิตช์หลัก) เป็นส่วนสำคัญของระบบเครือข่ายในโรงพยาบาล ความพร้อมใช้งานของเครื่องเหล่านี้ต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง 24/7 เพื่อรับมือกับการให้บริการทางการแพทย์และข้อมูลที่ถูกส่งผ่านระบบ

 

ทำไม High Availability Configuration ถึงสำคัญ?

      • การให้บริการต่อเนื่อง (Continuous Service): ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาหรือตรวจสอบในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ความพร้อมใช้งานของระบบเครือข่ายจึงต้องถูกรักษาอย่างต่อเนื่อง
      • การรักษาความปลอดภัย (Data Integrity): หากระบบล่ม ข้อมูลที่ระบบกำลังประมวลผลอาจจะหายไปหรือถูกทำลาย การกำหนดค่าเพื่อความพร้อมใช้งานที่สูงสามารถป้องกันสิ่งนี้ได้

จัดการอย่างไรด้วย Failover Systems (ระบบสำรอง)?

      • การสลับเครื่อง (Failover): หากเราเตอร์หลักมีปัญหาหรือล่ม เครื่องสำรองจะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ดังนั้น, ระบบจะไม่ถูกขัดจังหวะ
      • การโหลดสมดุล (Load Balancing): ระบบสำรองสามารถใช้เพื่อแบ่งปันภาระการทำงาน ลดความล่าช้าและปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ
      • การเฝ้าระวังและการแจ้งเตือน (Monitoring and Alerts): ระบบจะตรวจสอบและส่งข้อมูลเมื่อพบว่ามีสิ่งไม่ปกติ เช่น การเข้าถึงที่ผิดปกติ หรือเมื่อระบบใกล้จะถึงขีดจำกัดของความจุ

 

ด้วยการมี High Availability Configuration และ Failover Systems ใน Core Routers/Switches ของโรงพยาบาล เราสามารถรับมือกับปัญหาความล่าช้าและความจุที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังช่วยในการรักษาความต่อเนื่องและความปลอดภัยของข้อมูลและการให้บริการในโรงพยาบาล

 

  1. ดTraffic Shaping and QoS (การจัดรูปแบบการจราจรและคุณภาพของการบริการ):

 

เราเตอร์และสวิตช์หลัก (Core Routers/Switches) ในโรงพยาบาลสำหรับการจัดการเครือข่ายข้อมูลถือความสำคัญอย่างยิ่ง การใช้ Traffic Shaping และ QoS ทำให้เราสามารถปรับใช้แบนด์วิดธ์และการจัดการแหล่งทรัพยากรของเครือข่ายให้เหมาะสมกับความต้องการของโรงพยาบาล

 

ความสำคัญ และสถานการณ์การใช้งาน

    • Emergency Services (บริการฉุกเฉิน): ในกรณีที่ต้องส่งข้อมูลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน เช่น ภาพ X-ray หรือ CT scan, การใช้ QoS สามารถช่วยให้ข้อมูลที่สำคัญได้รับความสำคัญในการส่งอย่างเร็วและมีประสิทธิภาพ
    • Data Backup (การสำรองข้อมูล): การใช้ Traffic Shaping สามารถจัดการให้การสำรองข้อมูลเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จราจรของเครือข่ายต่ำ

 

วิธีการใช้งานและการปรับแต่ง

    • Rate Limiting (การจำกัดความเร็ว): การจำกัดความเร็วของแต่ละประเภทของข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าการส่งข้อมูลที่สำคัญจะไม่ถูกหน่วงหรือเสียหาย
    • Packet Prioritization (การจัดลำดับของข้อมูล): การจัดการลำดับความสำคัญของข้อมูลที่จะถูกส่งไปยังปลายทาง เพื่อให้ข้อมูลที่มีความสำคัญสูงสุดถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น Traffic Shaping และ QoS สามารถถือว่าเป็นเทคนิคที่สำคัญในการทำให้ Core Routers/Switches ของโรงพยาบาลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดการแหล่งทรัพยากรของเครือข่ายให้เหมาะสม แต่ยังสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานเครือข่ายว่าข้อมูลที่สำคัญจะถูกจัดการอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

 

  1. Firewall and ACL (ระบบป้องกันไฟร์วอลล์และรายการควบคุมการเข้าถึง):

 

Core Routers/Switches (เราเตอร์/สวิตช์หลัก) เป็นจุดที่สำคัญของเครือข่ายในโรงพยาบาล ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนต่างๆ ของเครือข่าย แต่เนื่องจากมันเป็นจุดที่ข้อมูลผ่านไปมาอย่างหนาแน่น มันจึงเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตี Firewall (ระบบป้องกันไฟร์วอลล์) และ ACL (Access Control List หรือ รายการควบคุมการเข้าถึง) จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันและควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

 

ความสำคัญ และการปรับแต่งและการตั้งค่า

    • Layered Security (ความปลอดภัยแบบชั้นทับซ้อน): Firewall จะถูกตั้งค่าในระดับต่างๆ ของ Core Routers/Switches ทั้งในระดับ Hardware และ Software เพื่อป้องกันการโจมตีที่หลากหลาย
    • User Authentication (การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้): ACLs จะถูกใช้เพื่อตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล ใครสามารถเข้าถึงข้อมูลได้บ้าง และสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลแต่ละประเภทคืออะไร

การตรวจสอบและการอัปเดต

เนื่องจากภัยคุกคามในด้านความปลอดภัยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ระบบ Firewall และ ACLs ใน Core Routers/Switches ต้องได้รับการตรวจสอบและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ

 

Firewall และ ACL ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือในการป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับการทำงานของ Core Routers/Switches ในโรงพยาบาล เพื่อให้เครือข่ายดำเนินการได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ