Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดจาก Microsoft ที่มาพร้อมกับการออกแบบใหม่และฟีเจอร์ที่ทันสมัย แต่เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการทั่วไป ผู้ใช้งานอาจพบเจอปัญหาต่างๆ ในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่ออัพเกรดจาก Windows 10 หรือเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง บทความนี้จะแนะนำ 10 ปัญหาที่พบบ่อยใน Windows 11 พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น
1. Windows 11 ทำงานช้าหรือค้างบ่อย
ปัญหา Windows 11 ทำงานช้าหรือค้างเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยที่สุด แม้ว่า Windows 11 จะมีอินเตอร์เฟซที่สวยงามและฟีเจอร์ใหม่ แต่ไม่ได้รับประกันว่าประสิทธิภาพจะดีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอัพเกรดจาก Windows 10 โดยไม่ได้ติดตั้งใหม่แบบสะอาด
วิธีแก้ไข:
- อัพเดทไดรเวอร์ให้เป็นรุ่นล่าสุด
- ใช้เครื่องมือในตัวเช่น Windows Update โดยไปที่ Settings > Windows Update > Advanced Options > Optional Updates[1]
- ติดตั้งอัพเดทผ่านซอฟต์แวร์ยูทิลิตี้ของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ เช่น Lenovo Vantage, Dell Update หรือ HP Support Assistant[1]
- เข้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตอุปกรณ์โดยตรง (เช่น Nvidia, AMD หรือ Intel) เพื่อดาวน์โหลดไดรเวอร์รุ่นล่าสุดที่เหมาะสมกับฮาร์ดแวร์ของคุณ[1]
- รีเซ็ตคอมพิวเตอร์
- ไปที่ Settings > System > Recovery > Reset this PC[1]
- เลือกตัวเลือก “Keep my files” เพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ในขณะที่ติดตั้ง OS ใหม่[1]
- ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อรีเซ็ตระบบ[1]
- ตรวจสอบการตั้งค่าระบบ
- เปิด Task Manager (Ctrl + Shift + Esc) และไปที่แท็บ Startup เพื่อปิดการใช้งานแอพที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเมื่อเริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์[1]
- ปรับแต่งตัวเลือกประสิทธิภาพโดยพิมพ์ “Adjust the appearance and performance of Windows” ในเมนูเริ่มต้น จากนั้นเลือก Adjust for best performance[1]
2. ปัญหาการอัพเดท Windows 11
การอัพเดท Windows มักจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ เช่น การดาวน์โหลดค้าง การติดตั้งไม่สำเร็จ หรือเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการอัพเดท ซึ่งอาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
วิธีแก้ไข:
- ซ่อมแซม Windows อัพเดท
- เปิด Windows PowerShell ในโหมดผู้ดูแลระบบ (คลิกขวาที่เมนู Start และเลือก Windows PowerShell (Admin))[2]
- คัดลอกและวางคำสั่ง:
Get-AppxPackage *windows.immersivecontrolpanel* | Reset-AppxPackage
[2] - รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์และลองตรวจสอบอีกครั้ง[2]
- ทำการอัพเกรดแบบซ่อมแซม (Repair In-place Upgrade)
- ดาวน์โหลด Windows 11 ISO จากเว็บไซต์ของ Microsoft[2]
- รันไฟล์และเลือก “Yes” เมื่อได้รับการแจ้งเตือนจาก UAC[2]
- เลือก “Upgrade this PC now” และคลิก “Next”[2]
- เลือก “Keep personal files and apps” และทำตามขั้นตอนที่เหลือ[2]
3. ปัญหาเมนูเริ่มต้น (Start Menu) ของ Windows 11
หลายคนไม่ชอบการออกแบบเมนู Start ใหม่ของ Windows 11 ที่มีการจัดวางปุ่มตรงกลางและการออกแบบที่แตกต่างจาก Windows 10 อย่างสิ้นเชิง
วิธีแก้ไข:
- ใช้โปรแกรมเสริมเพื่อปรับแต่งเมนู Start
- ดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมเช่น Open Shell ที่ช่วยให้คุณกลับไปใช้รูปแบบเมนู Start แบบดั้งเดิม[4]
- สามารถปรับแต่งสไตล์ได้ตามต้องการ เช่น สไตล์คลาสสิกแบบ Windows XP[4]
- ย้ายเมนู Start กลับไปชิดซ้าย
- คลิกขวาที่พื้นที่ว่างในทาสก์บาร์
- เลือก “Taskbar settings”
- เปลี่ยนการตั้งค่า “Taskbar alignment” จาก “Center” เป็น “Left”
4. ปัญหาด้านประสิทธิภาพหลังการอัพเกรด
หลังจากอัพเกรดเป็น Windows 11 คุณอาจพบว่าคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง แอพตอบสนองช้า หรือเปิดใช้งานทรัพยากรมากเกินไป
วิธีแก้ไข:
- สังเกตการใช้งาน CPU และ RAM
- ตรวจสอบว่าโปรแกรมใดกำลังใช้ทรัพยากรมากเกินไปผ่าน Task Manager[5]
- บูตเครื่องแบบ Clean Boot
- เปิดใช้งาน Windows ในโหมด Clean Boot เพื่อตรวจสอบว่ามีซอฟต์แวร์ของบุคคลที่สามที่ทำให้เกิดปัญหาหรือไม่[5]
- ปิดการใช้งาน Memory Integrity
- ฟีเจอร์ความปลอดภัยนี้อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ สามารถปิดได้ในการตั้งค่าความปลอดภัย[5]
5. ปัญหาการเปลี่ยนภาษาใน Windows 11
ผู้ใช้บางรายอาจต้องการเปลี่ยนภาษาที่แสดงผลใน Windows 11 แต่พบปัญหาในการตั้งค่าหรือไม่สามารถเปลี่ยนภาษาได้
วิธีแก้ไข:
- สำหรับ Windows ที่ไม่ใช่ Single Language
- คลิกขวาที่ Start แล้วเลือก Settings[6]
- เลือกเมนู Time & Language และเลือก Language & Region[6]
- ในหน้านี้ ดูที่ Language และเลือกภาษาที่ต้องการจาก Windows display language[6]
- สำหรับ Windows Single Language
- คุณจำเป็นต้องติดตั้ง Windows ใหม่โดยเลือกภาษาที่ต้องการตั้งแต่ต้น[6]
- ดาวน์โหลด Windows 11 จากเว็บไซต์ Microsoft และเลือกภาษาที่ต้องการใช้งาน[6]
- สำรองข้อมูลก่อนดำเนินการ เนื่องจากเป็นการติดตั้งใหม่ทั้งหมด[6]
6. ปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
ปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายเฉพาะที่ (LAN) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางครั้ง ซึ่งอาจเกิดได้หลังการอัพเดทหรืออัพเกรด
วิธีแก้ไข:
- รันตัวแก้ไขปัญหาเครือข่าย
- ไปที่ Settings > Network & Internet > Status > Network troubleshooter
- ให้ระบบวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาอัตโนมัติ
- รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย
- ไปที่ Settings > Network & Internet > Advanced network settings > Reset network
- คลิก “Reset now” และรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์
7. ปัญหาพื้นที่เก็บข้อมูลไม่เพียงพอ
พื้นที่เก็บข้อมูลที่ไม่เพียงพออาจทำให้ Windows 11 ทำงานช้าลงหรือไม่สามารถติดตั้งการอัพเดทได้
วิธีแก้ไข:
- ล้างไฟล์ชั่วคราว
- เปิด Settings > System > Storage > Temporary files[5]
- เลือกไฟล์ที่ต้องการลบและคลิก “Remove files”[5]
- ปิดการใช้งาน Storage Sense และทำความสะอาดไฟล์
- ใช้ Settings > System > Storage > Storage Sense เพื่อจัดการพื้นที่เก็บข้อมูลอัตโนมัติ[5]
- คลิก “Run Storage Sense now” เพื่อทำความสะอาดพื้นที่เก็บข้อมูล[5]
8. ปัญหาด้านความปลอดภัยและไวรัส
Windows 11 อาจเผชิญกับปัญหาด้านความปลอดภัย มัลแวร์ หรือไวรัส ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของข้อมูล
วิธีแก้ไข:
- ใช้โปรแกรมตรวจจับและกำจัดมัลแวร์
- ใช้โปรแกรมเช่น Hitman Pro เพื่อตรวจจับและกำจัดไวรัส โทรจัน และมัลแวร์[5]
- ทำการสแกนเต็มรูปแบบด้วย Windows Security หรือโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้
- อัพเดท Windows Security ให้เป็นรุ่นล่าสุด
- ตรวจสอบว่า Windows Security ได้รับการอัพเดทสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ
9. ปัญหาแอพไม่ทำงานหลังอัพเกรดเป็น Windows 11
บางแอพอาจไม่ทำงานหรือแสดงข้อผิดพลาดหลังจากอัพเกรดเป็น Windows 11 เนื่องจากปัญหาความเข้ากันได้
วิธีแก้ไข:
- ถอนการติดตั้งแอพที่ไม่จำเป็นและบล็อตแวร์
- ไปที่ Settings > Apps > Apps & features และถอนการติดตั้งแอพที่ไม่ต้องการหรือทำงานผิดปกติ[5]
- พิจารณาติดตั้งใหม่จากแหล่งที่เชื่อถือได้
- ตรวจสอบการอัพเดทของแอพ
- ตรวจสอบว่าแอพที่มีปัญหามีการอัพเดทใหม่สำหรับ Windows 11 หรือไม่
- ติดตั้งเวอร์ชันล่าสุดจากเว็บไซต์ผู้พัฒนาหรือ Microsoft Store
10. ปัญหาระบบล่มหรือต้องการรีเซ็ตทั้งหมด
เมื่อวิธีแก้ไขอื่นๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การรีเซ็ตหรือติดตั้ง Windows 11 ใหม่อาจเป็นทางเลือกสุดท้าย
วิธีแก้ไข:
- รีเซ็ตคอมพิวเตอร์แบบสมบูรณ์
- คลิกที่ Settings > System > Recovery > Reset PC[7]
- เลือกว่าต้องการเก็บไฟล์ส่วนตัวไว้หรือลบทุกอย่าง[7]
- สำรองข้อมูลสำคัญก่อนดำเนินการ เนื่องจากเป็นการทำลายข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมด[7]
- ติดตั้ง Windows 11 ใหม่โดยไม่ทำลายข้อมูล
- คลิกปุ่ม Reinstall Now เพื่อติดตั้งใหม่แทนการรีเซ็ตแบบทำลายข้อมูล[7]
- ตัวเลือกนี้ออกแบบมาเพื่อรักษาแอพ ไฟล์ และการตั้งค่าไว้[7]
- แม้จะเป็นการติดตั้งใหม่ที่ไม่ทำลายข้อมูล การสำรองข้อมูลก่อนดำเนินการก็ยังเป็นสิ่งที่ควรทำ[7]
สรุป
Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการอื่นๆ การแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่กล่าวมาข้างต้นสามารถช่วยให้คุณใช้งาน Windows 11 ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น หากคุณยังคงประสบปัญหาหลังจากลองวิธีเหล่านี้แล้ว การติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือฝ่ายสนับสนุนของ Microsoft อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ในกรณีที่คุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหา Windows 11 หรือต้องการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่รองรับ Windows 11 อย่างเต็มประสิทธิภาพ 2beshop.com พร้อมให้คำแนะนำและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาและบริการที่เป็นมืออาชีพได้วันนี้!
Reference Sources:
[1] https://www.itpro.com/operating-systems/microsoft-windows/361465/windows-11-problems-and-how-to-fix-them
[2] https://answers.microsoft.com/en-us/windows/forum/all/windows-update-problems-2025/3b24a1da-e74c-4807-86b2-876e0ad8e2ef
[3] https://learn.microsoft.com/en-us/windows/release-health/status-windows-11-24h2
[4] https://www.youtube.com/watch?v=sDd9yS63UQQ
[5] https://www.youtube.com/watch?v=Jlwh75z8H_Q
[6] https://notebookspec.com/web/743762-easy-way-to-change-language-win-11-10
[7] https://www.techtarget.com/searchenterprisedesktop/tip/Troubleshooting-the-most-common-issues-with-Windows-11